ถ้าลุงเรียนสูง !!!
หนุ่มบ้านนอกยากจนคนหนึ่ง ได้เสี่ยงโชคเข้ามาหางานทำในกรุงเทพฯ
หนุ่มคนนี้มิได้มีความรู้อะไรเลย....แต่เนื่องจากเขาได้รับทราบข่าว
จากเพื่อนของเขาคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า มีโรงเรียนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ กำลังรับสมัคร
นักการภารโรง ไม่จำกัดวุฒิการศึกษา
เจ้าหนุ่มบ้านนอกนั้นตั้งใจจะมาสมัครงานให้ได้ จึงนั่งรถจากบ้านนอกเข้ามากรุงเทพฯ
และเดินกางแผนที่ (ที่เพื่อนเขียนให้) และสุ่มถามชาวบ้านถึงสถานที่ตั้งของโรงเรียนนั้น
กว่าจะเจอเจ้าหนุ่มบ้านนอกนั้นเสียเหงื่อไปหลายปี๊ปทีเดียว....
เมื่อเขาเห็นโรงเรียน...เขามีความหวังว่าจะได้ทำงาน....
เขาจึงตรงเข้าไปแจ้งความจำนงที่แผนกธุรการ ทางเจ้าหน้าที่จึงเรียกให้นั่งลง
พร้อมกับยื่นใบสมัครให้กรอกข้อความ
เจ้าหนุ่มบ้านนอกยิ้มแหย ๆ ยกมือไหว้ พร้อมกับบอกกับเจ้าหน้าที่ว่า
"พี่ครับ...ขอโทษทีครับพี่...ผม...คือว่า...ผมอ่านหนังสือไม่ออก...เขียนหนังสือไม่ได้ครับ..."
เจ้าหน้าที่ที่นั่งรับสมัครอยู่นั้น ชักสีหน้าทันที "อะไรกัน...คิดจะมาสมัครงานที่โรงเรียน
ถึงจะตำแหน่งแค่นักการภารโรง ถึงจะไม่ได้ใช้วุฒิการศึกษา แต่อย่างน้อยก็น่าจะอ่านออก
เขียนได้บ้างแหละ" หนุ่มบ้านนอกหน้าซีด ยกมือไหว้เจ้าหน้าที่ประหลก ๆ
"ผมไม่รู้หนังสือจริง ๆ ครับ แต่ช่วยรับผมไว้หน่อยเถอะครับพี่ จะให้ผมแบกหาม
กวาดถูอะไรก็ได้ทุกอย่างครับ"
"งั้นก็คงจะไม่ได้หรอก..." เจ้าหน้าที่เก็บใบสมัคร กับปากกาที่วางไว้ คืนอย่างไม่มีเยื่อใย"
"เรามาสมัครงานกับโรงเรียนนะ อย่างน้อยก็ต้องมีพื้นรู้หนังสือบ้างสิ ถ้าไม่รู้อะไรเลยอย่างนี้
ก็เสียใจด้วยนะ กลับไปเถอะ....!!!"
เจ้าหนุ่มบ้านนอกก็ได้แต่เดินคอตกออกจากโรงเรียนที่ตั้งความหวังว่าจะได้งานทำอย่างเศร้าสร้อย
และเจ้าหนุ่มก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้ในกรุงเทพฯ ก็จึงจำใจกำเอาเงินจำนวนสุดท้าย นั่งรถกลับบ้านนอก
ด้วยความซมซาน
แต่เมื่อเขากลับถึงบ้าน เขาเห็นที่ดินว่างเปล่าเป็นเนื้อที่เท่าแมวดิ้นตายของพ่อเขาที่ทิ้งไว้ให้เขาก่อนตาย
เจ้าหนุ่มบ้านนอกนั้น ด้วยความเจ็บใจ จึงเกิดเป็นแรงมานะ ให้จับจอบ เสียม หักร้างถางพง ที่ดินสวนเก่า
ที่รกร้างนั้น และค่อย ๆ พลิกฟื้นลงร่องผลไม้ไปทีละเล็กละน้อย อย่างฮึดสู้ชะตาชีวิต ด้วยความอดทน...
หลายปีต่อมา.....สวนผลไม้ของเจ้าหนุ่มบ้านนอกที่ได้ลงแรงไว้นั้น ผลิดอกออกผลอย่างงดงาม
และสร้างผลกำไรมากขึ้น ๆ ทวีขึ้นทุก ๆ ปี กระทั่งสามารถเก็บเงินซื้อที่ดินในแปลงข้างเคียง
และขยายอาณาเขตสวนผลไม้ของตนเองจนกว้างขึ้น และกว้างขึ้น.....
หลายสิบปีต่อมา.....จากความขยันขันแข็ง มานะอดทน และประสบการณ์ที่เพิ่มพูนขึ้น
บัดนี้ เจ้าหนุ่มบ้านนอกคนนั้น กลายเป็นชายชรา ที่คนทั้งเมืองรู้จักในนามของ พ่อเลี้ยงสวนผลไม้
ที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัด และภูมิภาคนั้น....
อยู่มาปีหนึ่ง...เมื่อเก็บเกี่ยวผลไม้มากมายมหาศาล และชำระบัญชีเรียบร้อยแล้ว โดยฝีมือของ
ลูกหลานที่เลี้ยงดู ให้การศึกษา และแจกงานการให้ทำในสวนนั้น พ่อเลี้ยงชราก็หอบเงินเป็นฟ่อน
นั่งรถเข้ามาในตัวอำเภอ เพื่อขอเปิดบัญชีกับธนาคารเป็นครั้งแรก
เมื่อแจ้งนาม และความจำนงกับธนาคารแล้ว พนักงานธนาคารถึงกับตื่นเต้นกันยกใหญ่
ผู้จัดการสาขาถึงกับเดินมาต้อนรับด้วยตนเองทีเดียว และพนมมือไหว้ลูกค้ารายใหญ่ รายใหม่
อย่างนอบน้อม พร้อมกับยื่นใบเปิดบัญชีพร้อมปากกาปลอกทอง ให้กับพ่อเลี้ยงชราอย่างพินอบพิเทา
"ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ ทางเรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้มีโอกาสให้บริการพ่อเลี้ยง
ในครั้งนี้ รบกวนกรอกใบสมัครเปิดบัญชีด้วยครับ..."
พ่อเลี้ยงชราส่ายหน้าช้า ๆ ยื่นปากกาปลอกทองคืนให้กับผู้จัดการ พร้อมกับยิ้มให้ พลางกล่าวเนิบ ๆ ว่า
"พ่อหนุ่ม...ช่วยกรอกรายการให้ลุงทีเถอะ ลุงอ่านหนังสือไม่ออก...เขียนหนังสือไม่ได้หรอก...."
ผู้จัดการรับปากกาคืนมาแบบงงสุดขีด พลางค่อย ๆ อ้อมแอ้มถามลูกค้ารายใหญ่ของตนอย่างเกรงใจสุด ๆ
"เอ่อ...คือผมไม่เคยทราบมาก่อนเลยครับ....เอ่อ...ขออนุญาตเรียนถามพ่อเลี้ยงด้วยความเคารพนิดหนึ่ง
เถิดครับ คือ....พวกเราในจังหวัดนี้ก็ทราบกันดีอยู่ ถึงชื่อเสียงของพ่อเลี้ยงในกิจการสวนผลไม้ที่ใหญ่โต
และเจริญก้าวหน้าที่สุดในภูมิภาคนี้ แต่..." ผู้จัดการ ชะงักนิดนึงด้วยความเกรงใจ และในที่สุดก็หลุดปาก
ถามออกมาจนได้ ด้วยความฉงนที่มิอาจเก็บไว้ได้จริง ๆ
"แต่...พ่อเลี้ยงอ่านหนังสือไม่ออก และเขียนหนังสือไม่ได้หรือครับ..."
"พ่อหนุ่ม...." พ่อเลี้ยงชรายิ้มให้ผู้จัดการสาขาของธนาคารอย่างใจดี
"ถ้าลุงอ่านหนังสืออก และเขียนหนังสือได้น่ะนะ..." แกถอนหายใจยาว
ก่อนจะหยุดพูดประโยคที่ทำให้ผู้จัดการสาขาถึงกับอึ้งไปนานเลยว่า
"ป่านนี้ ลุงก็คงได้เป็นภารโรงไปแล้วแหละ..."
"คุณค่าของเราไม่ได้ขึ้นกับสิ่งที่คนอื่นมองเรา แต่ขึ้นอยู่กับตัวเรา
โอกาสยังมีเสมอ ขอเพียงแต่มองไปรอบ ๆ ตั้งใจทำในสิ่งที่ทำได้
และทำให้เต็มความสามารถ แล้วดอกผลจะตามมาเอง...
ดุจเดียวกับพ่อเลี้ยงชรา....คนนี้"